ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ภาคอีสาน ประกอบด้วย 20 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี และน้องใหม่ บึงกาฬ มีพื้นที่ประมาณ 170,226 ตารางกิโลเมตร หรือ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช ภูมิประเทศทั้งภาคยกตัวสูงเป็นขอบแยกตัวออกจากภาคกลางอย่างชัดเจน
ประกอบด้วยเทือกเขาสูงทางทิศตะวันตกและทิศใต้ เทือกเขาทิศตะวันตกมีความสูงเฉลี่ย 500-1,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล มียอดเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง มีความสูง 1,571 เมตร และภูกระดึงสูง 1,325 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำหลายสาย ได้แก่ แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำชี และลำตะคอง ทางด้านทิศใต้มีเทือกเขาสันกำแพง และเทือกเขาพนมดงรัก กั้นระหว่างภาคอีสานของไทย กับกัมพูชา และลาว มีความสูงเฉลี่ย 400-700 เมตร ยอดเขาเขียวเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดอยู่ทางตอนใต้ สูงประมาณ 1,292 เมตร ทำให้ภาคอีสานถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
- แอ่งโคราช ได้แก่บริเวณแถบลุ่มแม่น้ำชีและแม่น้ำมูล กินบริเวณ 3 ใน 4 ของภาคอีสานทั้งหมด
- แอ่งสกลนคร ได้แก่บริเวณตอนเหนือของเทือกเขาภูพาน และบริเวณที่ราบลุ่มน้ำโขง
โดยแบ่งจังหวัดออกตามกลุ่มอนุภาคเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
- กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบด้วย
กลุ่มย่อยที่ 1 อุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย เลย บึงกาฬ
กลุ่มย่อยที่ 2 มุกดาหาร สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์
กลุ่มย่อยที่ 3 ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด - กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย
กลุ่มย่อยที่ 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์
กลุ่มย่อยที่ 2 อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร
แม้ว่าชาวอีสานจะมีพื้นเพมาจากคนหลายกลุ่ม มาตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ต่างๆ เช่น ชาวส่วย (กุย) ย้อ ผู้ไทย ชาวโซ้ รวมทั้งไทยโคราช แต่ด้วยวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยึดมั่นในจารีตประเพณีของท้องถิ่นที่เรียกว่า "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่"
- คำว่า ฮีต ในภาษาถิ่นหมายถึง จารีต ที่เกี่ยวข้องกับประเพณีสิบสองเดือน อันเนื่องมาจากพุทธศาสนา เช่น งานบุญกฐิน บุญบั้งไฟ บุญข้าวสาก บุญข้าวจี่ เป็นต้น (อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง)
- ส่วนคำว่า คอง หมายถึง ครรลองคลองธรรม หรือแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติสิบสี่ประการ เช่น ทำบุญใส่บาตรทุกเช้า หมั่นฟังธรรมทุกวัน (อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง)
จากอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ภาคอีสานมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายน่าสนใจ ทั้งการท่องเที่ยวธรรมชาติ แบบการเดินป่า ล่องแก่ง ศึกษาธรรมชาติ ดูนก หรือจะเที่ยวเพื่อการชื่นชมความงามในศิลปะวัฒนธรรมของท้องถิ่น ศึกษาประวัติศาสตร์จากแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ และโบราณสถาน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ภาคอีสาน ของประเทศไทย เป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลาย ทางศิลปวัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น แต่ละจังหวัด ศิลปวัฒนธรรม เหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกถึงความเชื่อ ค่านิยม ศาสนาและรูปแบบการดำเนินชีวิต ตลอดจนอาชีพของ คนในท้องถิ่นนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี สาเหตุที่ภาคอีสานมีความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลมาจาก การเป็นศูนย์รวมของประชากรหลากหลายเชื้อชาติ การอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ การกวาดต้อนไพร่พล หรือจากการหนีภัยสงครามเมื่อครั้งอดีต และมีการติดต่อสังสรรค์กับประชาชนในประเทศใกล้เคียง จนก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมขึ้น
ศิลปะของชาวอีสาน มีพัฒนาการมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จะเห็นได้จากหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ อุทยานประวัติศาสตร์บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี อุทยานแห่งชาติ ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี หรือถ้ำฝ่ามือแดง จังหวัดมุกดาหาร ฯลฯ บ้านเรือนของชาวอีสาน สร้างสถาปัตยกรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษ จากการรับอิทธิพลส่งผ่านการค้าขาย สมัยนายฮ้อย จากที่ราบสูงไปยังที่ราบลุ่มภาคกลาง การสร้างบ้านเรือนของชุมชนตั้งแต่สมัยโบราณ มักเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่ม ที่มีแม่น้ำสำคัญๆ ไหลผ่าน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี แม่น้ำสงคราม ฯลฯ รวมทั้งอาศัยอยู่ตามริมหนองบึง ถ้าตอนใดน้ำท่วมถึงก็จะขยับไปตั้งอยู่ บนโคกหรือเนินสูง ดังนั้นชื่อหมู่บ้านในภาคอีสานจึงมักขึ้นต้นด้วยคำว่า "โคก โนน โพน หนอง นา ป่า" เป็นส่วนใหญ โดยยกพื้นสูง หลังคาทรงจั่ว เพื่อช่วยในการระบายความร้อน และน้ำฝน ในอดีตเป็นการก่อสร้างด้วยการใช้วิธีการบาก เจาะ และใส่ลิ่มไม้ในการยึดเกาะ มีเรือนนอน ชานเรือน และครัวไฟ ใต้ถุนใช้เป็นที่ขังสัตว์ใช้งานเช่น วัว ควาย หรือ วางอุปกรณ์การเกษตร เครื่องมือทำกิน และกี่ทอผ้า
ประเพณีของชาวอีสาน มีความหลากหลาย และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ประเพณีส่วนใหญ่จะเกิดมาจากความเชื่อ ค่านิยม และสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ การดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ และอิทธิพลของศาสนา ที่มีต่อคนในท้องถิ่น ประเพณีต่างๆ ถูกจัดขึ้นเพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจในการประกอบอาชีพ และเพื่อถ่ายทอดแนวความคิด ค่านิยมที่มีอยู่ ในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น การสู่ขวัญ การเลี้ยงผีปู่ตา ผีตาแฮก การแห่เทียนพรรษา การขอฝนจากแถน
คนอีสานมีคำคม สุภาษิต ไว้สั่งสอนลูกหลาน ให้ประพฤติตนอยู่ในฮีต ๑๒ คอง ๑๔ (จารีต ประเพณีที่ปฏิบัติในรอบ ๑๒ เดือน - ครรลอง ๑๔ อย่าง เป็นกรอบหรือแนวทางที่ใช้ปฏิบัติ ระหว่างกันของผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง พระสงฆ์ และระหว่างบุคคลทั่วไป เพื่อความสงบสุข ร่มเย็นของบ้านเมือง) ไม่ออกนอกลู่นอกทางคำคมเหล่านี้ รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ "ผญา" หมายถึง ปัญญา, ปรัชญา, ความฉลาด, ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา ความเฉลียว ฉลาดปราชญ์เปรื่อง
ภาษิตโบราณอีสาน แต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียดก็มี ถ้าท่าน ได้พบภาษิตที่หยาบๆ โปรดได้เข้าใจว่า คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น ภาษิตประจำชาติใด ก็เป็น คำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่า เป็นของดี ส่วนคนในชาติอื่น อาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้ ความจริง "ผญา/ภาษิต" คือรูปภาพของวัฒนธรรม แห่งชาติ นั่นเอง
ศิลปะการแสดงและดนตรีอีสาน ชาวอีสานมีอาชีพทำไร่ทำนา และเป็นคนรักสนุก จึงหา ความบันเทิงได้ทุกโอกาส การแสดงของภาคอีสานมักเกิดจากกิจวัตรประจำวัน หรือประจำฤดูกาล เช่น แห่นางแมว เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งสวิง เซิ้งกระติบ รำลาวกระทบไม้ ฯลฯ ลักษณะการแสดงซึ่ง เป็นลีลาเฉพาะของอีสาน คือ ลีลาและจังหวะในการก้าวเท้า มีลักษณะคล้ายเต้น แต่นุ่มนวล มักเดินด้วยปลายเท้าและสะบัดเท้าไปข้างหลังสูง เป็นลักษณะของเซิ้ง
ดนตรีพื้นเมืองอีสาน ได้แก่ แคน โหวต พิณ กลองยาว กรับ ฉาบ โหม่ง โปงลาง การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน ได้แก่ ฟ้อนภูไท เซิ้งสวิง เซิ้งโปงลาง เซิ้งตังหวาย ภูไทสามเผ่า เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งแหย่ไข่มดแดง
ภูมิปัญญาของคนอีสาน ภูมิปัญญา หมายถึง แบบแผนการดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าแสดงถึง ความเฉลียวฉลาดของบุคคลและสังคม ซึ่งได้สั่งสมและปฏิบัติสืบต่อกันมาต่อเนื่อง ภูมิปัญญาจะ เป็นทรัพยากรบุคคลหรือทรัพยากรความรู้ก็ได้ ซึ่งอาจเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน หรือเป็นลักษณะ สากลที่หลายๆ ท้องถิ่นมีคล้ายกันก็ได้ ภูมิปัญญาพื้นบ้านในแต่ละท้องถิ่น ล้วนเกิดจากการที่ ชาวบ้านแสวงหาความรู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคทางธรรมชาติ ทางสังคม ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ภูมิปัญญาจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและวิถีชีวิตชาวบ้าน
การรวมกำลังช่วยกันทำงานที่ใหญ่หลวง เกินวิสัยที่จะทำได้สำเร็จคนเดียว เช่น การลงแขก สร้างบ้าน สร้างวัด สร้างโรงเรียน สร้างถนนหนทาง หรือขุดลอกแหล่งน้ำ เป็นกิจกรรมที่แสดงถึง ความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันภายในชุมชน ทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยทั่วไปภูมิ ปัญญาพื้นบ้านเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นประโยชน์แก่คนทุกระดับ มีลักษณะเด่นคือ สร้างสำนึกเป็นหมู่คณะสูง ทั้งในระดับครอบครัวและเครือญาติ
ถึงแม้ผู้คนไม่น้อยเห็นว่า ชุมชนอีสาน เป็นดินแดนแห่งความโง่ ความจน ความเจ็บไข้ ได้ป่วยอันน่าเวทนา แท้ที่จริงไม่มีมนุษย์ผู้ใดและสังคมใด ที่ปล่อยให้วันเวลาผ่านเลยโดยไม่สั่งสม ประสบการณ์ หรือไม่เรียนรู้อะไรเลยจากช่วงชีวิตหนึ่งของตน ไม่ว่าในภาวะสุขหรือทุกข์ คนอีสาน ได้ใช้สติปัญญาสั่งสมความรู้ ดังจะเห็นได้จากภาษิตอีสาน (ผญาก้อม) จำนวนไม่น้อยที่แสดงทัศนะ ชื่นชมคุณค่าของความรู้ในการประกอบอาชีพ และค่านิยมประการหนึ่งของชาวอีสานคือ ยกย่อง ความรู้และการใช้ความรู้อย่างมีคุณธรรม ดังความว่า
- เงินเต็มภา บ่ท่อผญาเต็มปูม (ภา = ภาชนะ, ท่อ = เท่า, ผญา = ปัญญา, ปูม = ภูมิ)
- บ่มีความฮู้อย่าเว้าการเมือง บ่นุ่งผ้าเหลืองอย่าเว้าการวัด (ความฮู้ = ความรู้, เว้า = คุย)
- เกิดเป็นคนให้เฮียนความฮู้ เฮ็ดซู่ลู่เขาบ่มียำ (เฮียน = เรียน, เฮ็ดซู่ลู่ = ทื่อมะลื่อ, ยำ = เคารพ)
- ให้เอาความฮู้หากินทางชอบ ความฮู้มีอยู่แล้ว กินได้ชั่วชีวัง
- บ่ออกจากบ้าน บ่เห็นด่านแดนไกล บ่ไปหาเฮียน ก็บ่มีความฮู้
- แม้นสิมีความฮู้เต็มพุงเพียงปาก สอนโตเองบ่ได้ ไผสิย่องว่าดี (โตเอง = ตนเอง, ย่อง = ยกย่อง)
ผู้ที่สามารถประกอบการงานได้ผลดี โดยใช้ภูมิปัญญาชาวอีสาน เรียกว่า หมอ เช่น หมอมอ คือผู้รอบรู้ด้านโหราศาสตร์ หมอว่านคือ ผู้รอบรู้ด้านสมุนไพร หมอยา คือ ผู้เชี่ยวชาญด้าน การรักษาโรค หมอลำ คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการร้องลำนำประกอบแคน หมอผึ้ง คือ ผู้เชี่ยวชาญด้าน การหาน้ำผึ้ง ผู้มีภูมิปัญญาทุกวิชาชีพได้รับการยกย่องจากชุมชนเสมอหน้ากัน
ชาวอีสานมีทัศนะในการใช้ชีวิตว่า อยู่เป็นหมู่ดีกว่าอยู่โดดเดี่ยว เพราะขีดจำกัดทางกายภาพ และภูมิปัญญา การช่วยกันคิด ช่วยกันทำ การพึ่งตนเองและการพึ่งกันเองน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทำอย่างไรการอยู่ร่วมกันจึงจะเกิดประโยชน์สุข ผู้ฉลาดจึงร่วมกันกำหนดฮีตบ้าน-คลองเมือง เช่น ฮีตสิบสอง-คลองสิบสี่ กฎหมายท้องถิ่น วรรณกรรมคำสอน นิทาน บทเพลงและคติธรรม ซึ่งถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง แม้บางส่วนอาจไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน ต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่กระบวนการทางสังคมหลายส่วน ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ใน สภาพสังคมปัจจุบัน
ผ้า ภูมิปัญญาของชาวอีสานที่สืบทอดกันมา สมัยก่อนถือว่าการทอผ้าเป็นงานของผู้หญิง เพราะต้องใช้ความประณีตและละเอียดอ่อน ใช้เวลานานกว่าจะทอผ้าชนิดนี้เสร็จแต่ละผืน ผู้หญิง ซึ่งในสมัยนั้นต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนอยู่แล้ว จึงมีโอกาสทอผ้ามากกว่าผู้ชาย อีกประการหนึ่งคือ ค่านิยมของสมัยนั้นยกย่องผู้หญิงที่ทอผ้าเก่ง เพราะเมื่อโตเป็นสาวแล้ว จะต้องแต่งงานมีครอบครัว ไปนั้น ผู้หญิงจะต้องเตรียมผ้าผ่อนสำหรับออกเรือน ถ้าผู้หญิงคนใดทอผ้าไม่เป็น หรือไม่เก่ง ก็จะ ถูกตำหนิชายหนุ่มจะไม่สนใจ เพราะถือว่าไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะเป็นแม่บ้าน เมื่อมีงาน เทศกาลสำคัญต่างๆ ชาวบ้านจะพากันแต่งตัวด้วยผ้าทอเป็นพิเศษไปอวดประชันกัน ผ้าชนิดนี้จะ ทอขึ้นด้วยฝีมือประณีตเช่นเดียวกัน มีสีสัน และลวดลายดอกดวงงดงามเป็นพิเศษ ผ้าบางผืนจะทอ กันเป็นเวลาแรมปีด้วยใจรักและศรัทธา
ผ้าไทยอีสาน เป็นสายใยแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่เป็นมรดกสืบทอดกันมานานมีความงาม หลากหลายแตกต่างกันไป ทั้งรูปแบบ ลวดลาย สีสัน โดยเฉพาะแง่มุมของความงดงามนั้น จะแตกต่างกันตามกลุ่มวัฒนธรรม และผ้าไทยอีสานเป็นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ที่อยู่กับวิถีการดำรงชีวิตของชุมชนภาคอีสานมานานแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่า เริ่มมีการทอผ้าประเภทต่างๆ ตั้งแต่ยุคสมัยใด ซึ่งการทอผ้าของชุมชนอีสานมีวัตถุประสงค์ หรือ ความมุ่งหมายเพื่อการใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มในชีวิตประจำวัน และการทอผ้าเพื่อใช้ในการประกอบ พิธีกรรม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผ้าไทยอีสานจัดได้ว่า เป็นผ้าที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่น วิจิตรงดงาม มีลวดลายที่ประณีต และมีชื่อเสียงอย่างมาก ทั้งผ้าฝ้ายทอ ผ้าไหม ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด ซึ่งสามารถนำ มาสรรสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย
- ผ้าไหม (Silk) เป็นผ้าที่คนไทยอีสานส่วนใหญ่นิยมใช้ทำเป็นเสื้อผ้า ผ้าไหมผลิตมาจากเส้นใย ของตัวไหมซึ่งกินใบหม่อนเป็นอาหาร ชาวบ้านมักชอบเรียก การปลูกหม่อนและการทำผ้าไหม ว่า "การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม" ผ้าไหมจะมีความลื่น มันวาว สะท้อนแสงเป็นประกาย และมีลวดลาย ต่างๆ มากมายที่สวยงาม
- ผ้าฝ้าย (Cotton) คือ เส้นใยเก่าแก่ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้ในการทอผ้ามาแต่สมัยโบราณ สิ่งที่ บ่งบอกให้รู้ว่ามนุษย์มีการปลูกฝ้ายและปั่นฝ้ายเป็นเส้นด้ายมานานแล้ว คือหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งขุดพบในซากปรักหักพังอายุประมาณ 3,000 ปี โดยทั่วไปแล้ว ฝ้ายเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูก ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ผ้าฝ้ายเป็นผ้าที่ทุกคนมีความจำเป็นต้องใช้ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ทุกเพศ ทุกวัย และทุกชนชั้นในสังคม
- ผ้ามัดหมี่ เป็นผ้าที่ทอจากด้ายหรือไหมที่ผูกมัดด้วยเชือกกล้วย แล้วย้อมโดยการคิดผูกให้ เป็นลวดลายแล้วนำไปย้อมสีก่อนการทอ ผ้ามัดหมี่มีทั้งที่ทอด้วยฝ้ายและไหมซึ่งทำกันมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
- ผ้าขิด เป็นผ้าที่ใช้เทคนิคการทอผ้าให้เกิดลวดลาย โดยเพิ่มด้ายเส้นพิเศษ ด้วยการพุ่งด้าย จากริมผ้าด้านหนึ่งสู่ริมผ้าอีกด้านหนึ่ง ทำให้เกิดลวดลายตลอดหน้ากว้างของผืนผ้า เมื่อทอเสร็จแล้ว จะมีลายนูนยกขึ้นจากผืนผ้าบนกี่ (หูก) ผ้าขิดของชาวอีสานส่วนใหญ่นิยมใช้ใยฝ้าย มากกว่าเส้นใย ไหม ในการทอผ้าขิดนิยมทอสำหรับใช้สอย เป็นหมอน ผ้าห่ม ผ้าคลุมไหล่ ผ้าปูที่นอน ส่วนผ้าขิด ไหมจะมีลวดลายที่ละเอียด ประณีตกว่าผ้าขิดฝ้ายและมักทอเป็นผืนสำหรับตัดเสื้อผ้า
- ผ้าจก ผ้าจกเป็นผ้าทอผืนแคบๆ ซึ่งอาจทอขึ้นจากฝ้ายหรือไหม หรือผสมผสานกันทั้งสอง อย่างก็ได้ คำว่า "จก" มีความหมายว่า "ล้วง" หรือ "ควัก" ซึ่งอธิบายให้เห็นว่าการทอผ้าชนิดนี้ จะต้องมีการทอและปักให้เกิดลายไปพร้อมๆ กัน ผ้าชนิดนี้นิยมใช้เป็นส่วนประกอบตกแต่งผ้าผืน ใหญ่โดยเฉพาะผ้าซิ่น ซึ่งเมื่อประกอบเชิงด้วยผ้าจกแล้วก็เรียกว่า ผ้าซิ่นตีนจก ศิลปะการทอผ้าจก จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปทั้งลวดลาย สีสัน และการใช้สอย
- ผ้าลายนํ้าไหล เป็นการทอผ้าโดยใช้เทคนิคเกาะหรือล้วง มีชื่อเรียกกันไปตามลักษณะที่ทอ เช่น ลายทางยาวและเป็นคลื่นเหมือนกับบันได มองดูเหมือนสายนํ้ากำลังไหล เรียกลายนี้ว่า "ลาย นํ้าไหล" นับเป็นต้นแบบดั้งเดิม ต่อมาหยักของลายนํ้าไหลเป็นลายคล้ายจรวดกำลังพุ่ง เรียกกันว่า ลายจรวด เมื่อนำลายนํ้าไหลมาต่อกัน มีจุดช่องว่างตรงกลางเติมเส้นลายเล็กๆ แยกออกรอบตัว มอง ดูคล้ายดอกไม้หรือแมงมุม ลายอีกแบบหนึ่งที่เอาลายนํ้าไหลมาหักมุมให้ทู่ แล้วสอดสีด้ายเหลื่อม กันเป็นชั้นๆ เรียก ลายเล็บมือ อีกแบบหนึ่งได้นำลายนํ้าไหลมาประยุกต์เป็นลักษณะคล้าย เจดีย์เป็นชั้นๆ มียอดแหลม เรียกว่า ลายธาตุ ส่วนลายที่ใช้เส้นด้ายหลายๆ สีทอซ้อนกันเป็นชั้นๆ เรียกว่าลายกาบ เป็นต้น
- ผ้าแพรวา เป็นศิลปหัตถกรรมของชาวผู้ไทยจังหวัดกาฬสินธุ์ ลักษณะเป็นผ้าสไบมีลวดลาย และสีสันต่างๆ ผสมผสานกันอยู่บนพื้นสีแดงเข้ม การทอผ้าไหมแพรวาเป็นการทอผสมกับการปัก ไปพร้อมๆ กัน ใช้เส้นไหมละเอียดล้วน ส่วนที่เป็นลายใช้วิธีสะกิดเอาเส้นไหมสีต่างๆ ขึ้นมาเรียก กันว่า การยกขิด ซึ่งมาจากคำว่า "สะกิด" นั่นเอง
- ผ้าแพรมน มีลักษณะเช่นเดียวกับแพรวา แต่มีขนาดเล็กกว่า เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นิยมใช้ เช่นเดียวกับผ้าเช็ดหน้าและหญิงสาวผู้ไทนิยมใช้โพกผม
- ผ้าโสร่ง เป็นผ้านุ่งสำหรับผู้ชาย ลักษณะของผ้าโสร่งจะทอด้วยไหม หรือฝ้ายมีลวดลายเป็น ตาหมากรุกสลับเส้นเล็ก 1 คู่ และตาหมากรุกใหญ่สลับกันกว้างประมาณ 1 เมตร ยาว 2 เมตร เย็บต่อกันเป็นผืน